Back

  • ความหมายของเงิน
  • ประเภทของคริปโทเคอร์เรนซี
  • เหรียญคริปโต และ โทเคน : แตกต่างกันอย่างไร
  • สเตเบิลคอยน์ คืออะไร
  • จะเก็บคริปโตให้ปลอดภัยได้อย่างไร
  • กุญแจสาธารณะ และกุญแจส่วนตัว คืออะไร

ความหมายของเงิน (สำหรับผู้เริ่มต้น)

เงิน คือแนวคิดพื้นฐานที่เป็นรากฐานของทุกระบบเศรษฐกิจ โดยในความหมายที่ง่ายที่สุด เงินคือสิ่งที่ผู้คนยอมรับอย่างกว้างขวางให้ใช้เป็น สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน สินค้าและบริการ แต่เงินไม่ใช่เพียงแค่เหรียญหรือธนบัตรเท่านั้น มันยังทำหน้าที่หลัก 4 ประการ ได้แก่:


  • สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน: เงินช่วยขจัดความไร้ประสิทธิภาพของการแลกเปลี่ยนสิ่งของโดยตรงด้วยการเป็นสิ่งของทั่วไปที่ทุกคนตกลงที่จะยอมรับในการซื้อขาย
  • หน่วยวัดมูลค่า: เงินทำหน้าที่เป็นมาตรฐานในการกำหนดราคา ทำให้สามารถเปรียบเทียบมูลค่าสินค้าและบริการได้ง่าย
  • แหล่งสะสมมูลค่า: เงินสามารถรักษามูลค่าได้เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้คนสามารถเก็บออมกำลังซื้อไว้ใช้ในอนาคตได้
  • มาตรฐานการชำระหนี้ในอนาคต: เงินทำให้การทำธุรกรรมสามารถชำระในอนาคตได้ เช่น การกู้ยืมหรือสินเชื่อ

ในประวัติศาสตร์ สิ่งของหลายอย่างเคยถูกใช้เป็นเงิน ไม่ว่าจะเป็นเปลือกหอย ทองคำ เงินแท่ง หรือธนบัตร ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ใช้ เงินเฟียต (fiat money) ซึ่งเป็นเงินที่รัฐบาลประกาศให้เป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย มูลค่าของเงินประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ออกเป็นหลัก


คริปโตเคอร์เรนซีถือเป็นรูปแบบใหม่ของเงิน ที่เป็น ดิจิทัล กระจายศูนย์ และได้รับการปกป้องด้วยวิทยาการเข้ารหัส ซึ่งแตกต่างจากเงิน Fiat เพราะไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง แต่ทำงานบนเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) นวัตกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อมอบ รูปแบบเงินที่โปร่งใส ปลอดภัย และไร้พรมแดน สำหรับยุคดิจิทัล

ประเภทของคริปโทเคอร์เรนซี (สำหรับผู้เริ่มต้น)

คริปโทเคอร์เรนซีมีหลายรูปแบบ แต่ละประเภทได้รับการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในระบบนิเวศดิจิทัล การทำความเข้าใจประเภทเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้งานในโลกคริปโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ:


  • เหรียญ: สกุลเงินดิจิทัลที่ทำงานบนบล็อกเชนอิสระของตัวเอง ตัวอย่างเช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Cardano (ADA) โดยทั่วไปแล้ว เหรียญจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน, แหล่งสะสมมูลค่า, หรือเป็นเชื้อเพลิงให้กับเครือข่ายบล็อกเชน
  • โทเคน: สินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นบนบล็อกเชนที่มีอยู่แล้ว มักอยู่บน Ethereum โดยใช้สมาร์ทคอนแทรกต์ และสามารถแทนสิทธิ์การใช้งาน ทรัพย์สิน หรือสิทธิ์ในการกำกับดูแล ตัวอย่าง: Basic Attention Token (BAT), Uniswap (UNI)
  • สเตเบิลคอยน์: คริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตรึงกับสินทรัพย์ที่มีความเสถียร เช่น เงินเฟียต (ตัวอย่างเช่น ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อลดความผันผวน ตัวอย่างเช่น Tether (USDT), USD Coin (USDC)
  • โทเคนหลักทรัพย์: แสดงถึงการเป็นเจ้าของในสินทรัพย์หรือบริษัทในโลกจริง เป็นสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงบล็อกเชนเข้ากับการเงินแบบดั้งเดิม
  • โทเคนการใช้งาน: ให้สิทธิ์ในการเข้าถึงสินค้าหรือบริการภายในแพลตฟอร์มบล็อกเชน มักใช้ใน dApps

คริปโตแต่ละประเภทมีบทบาทเฉพาะในระบบเศรษฐกิจคริปโตที่กำลังเติบโต ตั้งแต่การทำหน้าที่เป็นเงินดิจิทัล ไปจนถึงการสนับสนุนการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และการกำกับดูแล

เหรียญคริปโต และ โทเคน : แตกต่างกันอย่างไร(สำหรับผู้เริ่มต้น)

แม้คำว่า เหรียญ และ โทเคน มักถูกใช้แทนกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองมีความแตกต่างกันทั้งในเชิงเทคนิคและการใช้งาน:


  • เหรียญ คือคริปโทเคอร์เรนซีที่มีบล็อกเชนเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น Bitcoin ทำงานบนบล็อกเชนของตัวเองและถูกใช้เป็นหลักในฐานะเงินดิจิทัลหรือแหล่งสะสมมูลค่า เหรียญมีความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายบล็อกเชน และมักใช้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมธุรกรรมในสกุลเงินของตัวเอง
  • โทเคน, ถูกสร้างขึ้นบน บล็อกเชนที่มีอยู่แล้ว เช่น Ethereum โดยพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานของบล็อกเชนและสมาร์ทคอนแทรกต์ในการทำงาน โทเคนสามารถแทน สินทรัพย์หรือสิทธิ์การใช้งาน ได้หลากหลาย เช่น สิทธิ์โหวตในองค์กรแบบกระจายศูนย์ (DAO) สิทธิ์การเข้าถึงบริการ หรือแม้กระทั่งการแทนสินทรัพย์จริงทางกายภาพ

ข้อแตกต่างที่สำคัญ: (Key differences): คุณลักษณะ (Featur:

คุณลักษณะ เหรียญ โทเคน
บล็อกเชน มีบล็อกเชนของตนเอง ถูกสร้างบนบล็อกเชนที่มีอยู่แล้ว
การสร้าง ถูกขุด หรือ Stake ถูกสร้างผ่านสมาร์ทคอนแทรกต์
การใช้งาน เป็นสกุลเงินดิจิทัล, แหล่งสะสมมูลค่า ใช้ในเชิงยูทิลิตี้ การกำกับดูแล หรือแทนสินทรัพย์
ตัวอย่าง Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) Uniswap (UNI), Basic Attention Token (BAT)

การสร้างโทเคนโดยทั่วไปแล้วจะง่ายและเร็วกว่า เนื่องจากไม่ต้องสร้างบล็อกเชนใหม่

ทั้งเหรียญและโทเคนต่างก็มีอยู่ร่วมกัน ช่วยให้ระบบนิเวศของคริปโตมีความหลากหลายและยืดหยุ่น

สเตเบิลคอยน์ คืออะไร? (สำหรับผู้เริ่มต้น)

สเตเบิลคอยน์ คือคริปโทเคอร์เรนซีที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดยผูกค่าไว้กับสินทรัพย์สำรอง เช่น สกุลเงินเฟียต (อย่างดอลลาร์สหรัฐ) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ (อย่างทองคำ)


เป้าหมายของ Stablecoins คือการรวมข้อดีของคริปโทเคอร์เรนซีเข้าด้วยกัน เช่น การทำธุรกรรมที่รวดเร็วและไร้พรมแดน เข้ากับความเสถียรของราคาที่จำเป็นสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน


ประเภทของสเตเบิลคอยน์:

  • มีหลักประกันเป็นเงินเฟียต (:มีเงินสำรองที่เป็นสกุลเงินเฟียตหนุนหลังในอัตราส่วน 1:1 โดยมีผู้ดูแลที่น่าเชื่อถือเก็บรักษาไว้ ตัวอย่าง: Tether (USDT), USD Coin (USDC)
  • มีหลักประกันเป็นคริปโต:มีคริปโทเคอร์เรนซีอื่นค้ำประกันไว้ ซึ่งมักจะใช้หลักประกันที่สูงเกินจริง (over-collateralized) เพื่อรองรับความผันผวน ตัวอย่าง: DAI
  • แบบอัลกอริทึม (ไม่มีหลักประกัน): ใช้อัลกอริทึมและสมาร์ทคอนแทรกต์ควบคุมอุปสงค์–อุปทาน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาโดยไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำ

ทำไมสเตเบิลคอยน์จึงสำคัญ:

  • เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและแหล่งเก็บมูลค่าที่เชื่อถือได้ในตลาดคริปโตที่ผันผวน
  • ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในโลก DeFi เช่น การกู้ยืม การปล่อยกู้ และการซื้อขาย.
  • ช่วยอำนวยความสะดวกในการ แปลงจากเงิน Fiat ไปเป็นคริปโต ได้ง่าย

สเตเบิลคอยน์ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง การเงินแบบดั้งเดิม และ โลกคริปโต เปิดโอกาสให้เกิดการใช้งานจริง เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศ และการชำระค่าสินค้า/บริการ

จะเก็บคริปโตให้ปลอดภัยได้อย่างไร (สำหรับผู้เริ่มต้น)

ความปลอดภัยของคริปโตเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์และกลโกงต่าง ๆ นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อปกป้องการลงทุนของคุณ:


1.ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน: หลีกเลี่ยงรหัสผ่านที่คาดเดาง่าย และใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่านเพื่อสร้างและจัดเก็บรหัสผ่านที่ซับซ้อน

2. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA): เพิ่มชั้นการป้องกันอีกขั้น ด้วยการยืนยันรหัสจากโทรศัพท์หรือแอปยืนยันตัวตน

3. ใช้ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต: เก็บกุญแจส่วนตัว (Private Keys) แบบออฟไลน์ในกระเป๋าฮาร์ดแวร์ หรือที่เรียกว่า Cold Wallet เพื่อป้องกันการถูกแฮกออนไลน์

4. ระวังการโจมตีแบบฟิชชิง: ตรวจสอบ URL ทุกครั้ง และอย่าคลิกลิงก์หรืออีเมลที่น่าสงสัยซึ่งขอข้อมูลส่วนตัวของคุณ

5. อัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ: อัปเดตซอฟต์แวร์วอลเล็ต, โปรแกรมแอนตี้ไวรัส, และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

6. สำรอง Seed Phrase ของคุณ: จัดเก็บวลีสำหรับกู้คืนกระเป๋าเงิน แบบออฟไลน์ในหลายๆ แห่งอย่างปลอดภัย

7. ใช้กระดานเทรดและวอลเล็ตที่น่าเชื่อถือ : เลือกแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัยและมีรีวิวที่ดีจากผู้ใช้


การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียสินทรัพย์คริปโตได้อย่างมาก

กุญแจสาธารณะ (Public Key) และกุญแจส่วนตัว (Private Key) คืออะไร (สำหรับผู้เริ่มต้น)

Public Key และ Private Key คือรากฐานการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยของคริปโทเคอร์เรนซี


●   กุญแจสาธารณะ:เปรียบเสมือน “ที่อยู่กระเป๋าคริปโต” หรือ เลขบัญชี ของคุณ เป็นรหัสเฉพาะที่สามารถแชร์ให้ผู้อื่นเพื่อรับเงินได้ กุญแจสาธารณะถูกสร้างขึ้นจากกุญแจส่วนตัวผ่านกระบวนการทางคณิตศาสตร์แบบทางเดียว ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย

●   กุญแจส่วนตัว: เปรียบเสมือน “รหัสผ่านลับ” ที่ให้สิทธิ์ควบคุมเงินคริปโตของคุณได้อย่างเต็มที่ ต้องเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด เพราะใครก็ตามที่เข้าถึงกุญแจส่วนตัว ของคุณได้ก็สามารถนำสินทรัพย์ของคุณไปใช้ได้เช่นกัน


หลักการทำงานร่วมกัน:

มื่อคุณส่งคริปโต กระเป๋าเงินของคุณจะใช้ กุญแจส่วนตัว เพื่อสร้าง ลายเซ็นดิจิทัล ที่ยืนยันความเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเปิดเผยกุญแจจริง ๆ จากนั้นเครือข่ายจะใช้ กุญแจสาธารณะ เพื่อตรวจสอบลายเซ็น และยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม


⚠️หากคุณทำกุญแจส่วนตัวหาย เท่ากับคุณจะสูญเสียการเข้าถึงเงินของคุณไปตลอดกาล ดังนั้น การปกป้องกุญแจส่วนตัวถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในด้านความปลอดภัยของคริปโต